กิฟฟารีน (Giffarine) เปิดเกมรุกน่านน้ำสีคราม

“กิฟฟารีน” ชูกลยุทธ์น่านน้ำสีคราม “Blue Ocean Marketing Stategy” ลุยตลาดขายตรง สบช่องเศรษฐกิจหด คนแห่ทำธุรกิจขายตรง อัดงบตลาด 80 ล้านบาท เดินหน้าขยายพื้นที่ศูนย์จำหน่าย เตรียมปรับราคาอุปโภค-บริโภคกว่า 20 รายการเพิ่ม 2-3 บาท ตามต้นทุนวัตถุดิบ ระบุภาพรวมขายตรงไตรมาสแรกยังสดใส อัตราสมัครเฉลี่ยต่อเดือนพุ่ง1.5 หมื่นราย

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในการก้าวสู่ปีที่ 11 ว่า จะใช้กลยุทธ์ใหม่เรียกว่า น่านน้ำสีคราม “Giffarine Blue Ocean Marketing Stategy” โดยการเข้าไปบุกเบิกตลาดใหม่ๆ ที่ยังไม่มีคู่แข่งขัน หรือเป็นตลาดที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสินค้าใหม่ ที่ไม่มีใครผลิตมาก่อน หรือแผนการตลาดรวมถึงวิธีการขายที่ไม่เหมือนใคร

“ความหมายบลู โอเชี่ยนของเรา คือการพัฒนาสินค้าใหม่ที่ทำเป็นเจ้าแรก อย่างเช่น ขนมเค้กสำเร็จรูป ที่มีเราเจ้าเดียวทำจำหน่ายในขณะนี้ ซึ่งการที่เราเป็นผู้บุกเบิกสินค้ารายแรก ทำให้เพิ่มคุณค่าสินค้าได้ และขายราคาแพงขึ้นได้ เพราะไม่ต้องแข่งขันลดราคาสู้กับคู่แข่ง นอกจากสินค้าใหม่แล้ว บลู โอเชี่ยน ของเรารวมไปถึงวิธีการทำตลาดและกลยุทธ์การตลาดด้วย” นางนลินี กล่าว

ในปีนี้ บริษัทใช้งบสำหรับการทำตลาดราว 80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วใช้ 75 ล้านบาท เนื่องจากมองว่ายิ่งในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงมาก เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากสถานการณ์การเมืองอึม ครึม รวมทั้งค่าเงินบาทแข็งขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเกิดความไม่มั่นใจ ไม่ยอมจับจ่ายใช้สอย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องทำกิจกรรมการตลาดหนักขึ้นกว่าทุกปี

ส่วนแผนขยายศูนย์จำหน่าย ในปีนี้ไม่มีนโยบายขยายเพิ่มเติม เพราะด้วยจำนวนศูนย์จำหน่ายมีทั้งหมด 94 แห่ง สามารถครอบคลุมการทำตลาดทั่วประเทศอยู่แล้ว แต่จะเน้นการขยายพื้นที่ศูนย์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น จากเดิม 2 คูหาเป็น 3 คูหา เพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยในการรีครูทสมาชิกมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีสมาชิกที่ทำธุรกิจทั้งหมด 3 แสนรหัส
อย่างไรก็ดี จากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าในหมวดอุปโภคบริโภคกว่า 20 รายการ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยชิ้นละ 2-3 บาท จากสินค้าที่มีทั้งหมด 2,000 รายการ ทั้งนี้ เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับยอดขาย เพราะเป็นการปรับขึ้นน้อยมากหลังจากที่ไม่ได้มีการปรับราคามานาน โดยตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 3,800 ล้านบาท

นางนลินี กล่าวด้วยว่า ภาพรวมธุรกิจขายตรงในไตรมาสแรกยังสดใส โดยยังมีอัตราการเติบโต เพราะคนไทยเริ่มเข้าใจธุรกิจขายตรงมากขึ้น เมื่อเทียบกับสมัยก่อนพบว่าธุรกิจขายตรงคืออาชีพเสริม แต่ปัจจุบันผู้บริโภคกลับหันมาทำธุรกิจนี้อย่างจริงจังมากขึ้น โดยเห็นได้จากอัตราการสมัครของสมาชิกเฉลี่ยต่อเดือนมีถึง 45,000 ราย ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มจากเดิมมีอยู่แค่ 30,000 รายต่อเดือน
สำหรับตลาดต่างประเทศนั้น ปัจจุบันบริษัทได้นำสินค้าออกไปจำหน่ายผ่านระบบค้าปลีกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก และยังมีอีก 30 ประเทศที่อยู่ระหว่างการเจรจา ส่วนประเทศที่มีการจำหน่ายในรูปแบบขายตรงคือ พม่า และอนาคตบริษัทจะขยายตลาดไปในมาเลเซีย

ทั้งนี้ สินค้าที่บริษัทนำเข้าไปทำตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ เป็นสินค้ากลุ่มคอสเมติกส์ และสกินแคร์ ภายใต้แบรนด์ “แพท- ทริน่า” และ “กิฟฟารีน” โดยสินค้าทุกรายการจะมีราคาสูงกว่าสินค้าที่ขายในตลาดเมืองไทยประมาณ 50% ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากประเทศประมาณ 100 ล้านบาท

สีคราม “Blue Ocean Marketing Stategy” ลุยตลาดขายตรง สบช่องเศรษฐกิจหด คนแห่ทำธุรกิจขายตรง อัดงบตลาด 80 ล้านบาท เดินหน้าขยายพื้นที่ศูนย์จำหน่าย เตรียมปรับราคาอุปโภค-บริโภคกว่า 20 รายการเพิ่ม 2-3 บาท ตามต้นทุนวัตถุดิบ ระบุภาพรวมขายตรงไตรมาสแรกยังสดใส อัตราสมัครเฉลี่ยต่อเดือนพุ่ง1.5 หมื่นราย

นางนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในการก้าวสู่ปีที่ 11 ว่า จะใช้กลยุทธ์ใหม่เรียกว่า น่านน้ำสีคราม “Giffarine Blue Ocean Marketing Stategy” โดยการเข้าไปบุกเบิกตลาดใหม่ๆ ที่ยังไม่มีคู่แข่งขัน หรือเป็นตลาดที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสินค้าใหม่ ที่ไม่มีใครผลิตมาก่อน หรือแผนการตลาดรวมถึงวิธีการขายที่ไม่เหมือนใคร

“ความหมายบลู โอเชี่ยนของเรา คือการพัฒนาสินค้าใหม่ที่ทำเป็นเจ้าแรก อย่างเช่น ขนมเค้กสำเร็จรูป ที่มีเราเจ้าเดียวทำจำหน่ายในขณะนี้ ซึ่งการที่เราเป็นผู้บุกเบิกสินค้ารายแรก ทำให้เพิ่มคุณค่าสินค้าได้ และขายราคาแพงขึ้นได้ เพราะไม่ต้องแข่งขันลดราคาสู้กับคู่แข่ง นอกจากสินค้าใหม่แล้ว บลู โอเชี่ยน ของเรารวมไปถึงวิธีการทำตลาดและกลยุทธ์การตลาดด้วย” นางนลินี กล่าว
ในปีนี้ บริษัทใช้งบสำหรับการทำตลาดราว 80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วใช้ 75 ล้านบาท เนื่องจากมองว่ายิ่งในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงมาก เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากสถานการณ์การเมืองอึม ครึม รวมทั้งค่าเงินบาทแข็งขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเกิดความไม่มั่นใจ ไม่ยอมจับจ่ายใช้สอย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องทำกิจกรรมการตลาดหนักขึ้นกว่าทุกปี

ส่วนแผนขยายศูนย์จำหน่าย ในปีนี้ไม่มีนโยบายขยายเพิ่มเติม เพราะด้วยจำนวนศูนย์จำหน่ายมีทั้งหมด 94 แห่ง สามารถครอบคลุมการทำตลาดทั่วประเทศอยู่แล้ว แต่จะเน้นการขยายพื้นที่ศูนย์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น จากเดิม 2 คูหาเป็น 3 คูหา เพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยในการรีครูทสมาชิกมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีสมาชิกที่ทำธุรกิจทั้งหมด 3 แสนรหัส
อย่างไรก็ดี จากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าในหมวดอุปโภคบริโภคกว่า 20 รายการ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยชิ้นละ 2-3 บาท จากสินค้าที่มีทั้งหมด 2,000 รายการ ทั้งนี้ เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับยอดขาย เพราะเป็นการปรับขึ้นน้อยมากหลังจากที่ไม่ได้มีการปรับราคามานาน โดยตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 3,800 ล้านบาท

นางนลินี กล่าวด้วยว่า ภาพรวมธุรกิจขายตรงในไตรมาสแรกยังสดใส โดยยังมีอัตราการเติบโต เพราะคนไทยเริ่มเข้าใจธุรกิจขายตรงมากขึ้น เมื่อเทียบกับสมัยก่อนพบว่าธุรกิจขายตรงคืออาชีพเสริม แต่ปัจจุบันผู้บริโภคกลับหันมาทำธุรกิจนี้อย่างจริงจังมากขึ้น โดยเห็นได้จากอัตราการสมัครของสมาชิกเฉลี่ยต่อเดือนมีถึง 45,000 ราย ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มจากเดิมมีอยู่แค่ 30,000 รายต่อเดือน
สำหรับตลาดต่างประเทศนั้น ปัจจุบันบริษัทได้นำสินค้าออกไปจำหน่ายผ่านระบบค้าปลีกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก และยังมีอีก 30 ประเทศที่อยู่ระหว่างการเจรจา ส่วนประเทศที่มีการจำหน่ายในรูปแบบขายตรงคือ พม่า และอนาคตบริษัทจะขยายตลาดไปในมาเลเซีย

ทั้งนี้ สินค้าที่บริษัทนำเข้าไปทำตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ เป็นสินค้ากลุ่มคอสเมติกส์ และสกินแคร์ ภายใต้แบรนด์ “แพท- ทริน่า” และ “กิฟฟารีน” โดยสินค้าทุกรายการจะมีราคาสูงกว่าสินค้าที่ขายในตลาดเมืองไทยประมาณ 50% ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากประเทศประมาณ 100 ล้านบาท

0 Responses to “กิฟฟารีน (Giffarine) เปิดเกมรุกน่านน้ำสีคราม”



  1. ให้ความเห็น

ใส่ความเห็น




เมษายน 2008
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930  

Blog Stats

  • 118,096 hits